6 ข้อต้องรู้ก่อน เปิดร้านยา
6 ข้อต้องรู้ก่อน เปิดร้านยา

ฟรี !! คำปรึกษาทางโทรศัพท์

6 ข้อต้องรู้ก่อน เปิดร้านยา

       ถ้าท่านกำลังคิดจะ เปิดร้านยาแต่ยังไม่รู้ว่าควรจะเริ่มอย่างไร ต้องใช้งบประมาณเท่าไร และต้องมีค่าใช้จ่ายอะไรบ้าง บทความนี้จะช่วยตอบคำถามในใจของท่าน และเป็นแนวทางที่จะให้ท่าน ว่าคุ้มค่าที่จะเปิดร้านยาหรือไม่
      1.ทำเลและกลุ่มลูกค้า : การเลือกทำเลในการทำธุรกิจ ไม่ว่าจะทำธุรกิจประเภทไหน การมีทำเลที่ดี ก็มีชัยไปกว่าครึ่ง ทำเลที่ดี คือ ทำเลที่มีผู้คนหนาแน่น เช่น ตลาด ห้างสรรพสินค้า ร้านสะดวกซื้อ ย่านที่อยู่อาศัย ออฟฟิศ แหล่งท่องเที่ยว หรือสถานศึกษา เป็นต้น การเลือกทำเลร้านยา จะส่งผลถึงกลุ่มลูกค้าที่จะเข้ามารับบริการว่าเป็น กลุ่มลูกค้ากลุ่มไหน เช่น พ่อค้า แม่ค้า พนักงานบริษัท นักท่องเที่ยว หรือนักเรียนนักศึกษา ดังนั้น ทั้งทำเลและกลุ่มลูกค้า จะบอกเราได้ว่า ร้านยาของยาจะมีกลยุทธ์การทำธุรกิจอย่างไร สิ่งสำคัญไม่ใช่ว่าเลือกเปิดร้านที่มีทำเลที่ดีเท่านั้น แต่เราต้องรู้ถึงกลุ่มลูกค้า รวมไปถึงพฤติกรรมของลูกค้าด้วย
        2. เงินลงทุน : การเริ่มต้นธุรกิจธุรกิจต้องมีเงินลงทุน ในธุรกิจร้านยา ถ้าไม่รวมในส่วนของการลงทุน ในสิ่งปลูกสร้างหรือปรับปรุงอาคารและสถานที่ สิ่งที่ร้านยาทุกร้านต้องใช้เงินลงทุน คือ ตู้ยา อุปกรณ์ ยา ระบบยา ในปัจจุบันถ้าเราค้นหาทางอินเตอร์เน็ต จะพบธุรกิจที่เกี่ยวกับการเปิดร้านยาหลายรูปแบบ ทั้งตู้ยา ยา โปรแกรมขายยา ราคาก็มีหลากหลาย ให้ตัดสินใจ เงินลงทุนขั้นต่ำ ถ้าคิดขนาดร้านยาประมาณ 30-40 ตรม. จะมีค่าใช้จ่ายส่วนต่างๆ โดยประมาณดังนี้

      – ค่าตู้ยาและอุปกรณ์ จะเริ่มประมาณ 100,000-120,000 บาท แต่ถ้ามีส่วนเพิ่มเติม เช่น วัสดุ ป้ายไฟ ลิ้นชัก กระจกหรือตกแต่งเพิ่มเติม เพื่อให้ร้านดูสวยงาม ราคาก็จะสูงขึ้นไปอีก 

          – ค่ายาเข้าร้าน เริ่มต้นจะประมาณ 150,000 แต่ก็ไม่มีกฎตายตัว เพราะขึ้นอยู่กับทำเลและกลุ่มลูกค้า จึงแนะนำว่าการสั่งยาล็อตแรกเข้าร้าน อาจจะเน้นหลากหลาย และไม่เยอะ หรือไม่น้อยจนเกินไป เพื่อดูกลุ่มลูกค้าของเราก่อนว่าเป็นแบบไหน การสั่งยาเข้าร้านได้อย่างเหมาะสม จะทำให้ทุนของเราไม่จมอยู่กับยามากเกินไป

              – โปรแกรมร้านยา จะเป็นโปรแกรมที่ค่อนข้างเฉพาะ เพราะร้านยาต้องมีการส่งรายงานการรับ และขายยา รวมไปถึงจะต้องลง เลขที่ Lot. วันผลิต วันหมดอายุ ราคาทุน ราคาขาย เพื่อง่ายต่อการบริการจัดการ และการดูกำไรขาดทุน ดังนั้นโปรแกรมยาที่ดีควรจะสามารถตอบโจทย์ธุรกิจได้ ปัจจุบันที่โปรแกรมร้านยาทั้งแบบฟรี แบบซื้อขาด หรือแบบฟรีแต่ต้องซื้อยาจากร้านเพื่อรักษายอด ค่าใช้จ่ายสำหรับโปรแกรมร้านยาก็ประมาณ 10,000-20,000 บาท แต่ยังไม่รวมระบบคอมพิวเตอร์ ลิ้นชักเก็บเงิน เครื่องอ่านบาร์โค้ด รวมแล้วในส่วนของโปรแกรมยาและระบบยาจะอยู่ประมาณ 50,000 บาท

              – เงินลงทุนอื่นๆ นอกเหนือจากที่กล่าวมา ก็จะมีค่าป้ายประชาสัมพันธ์ร้านยา ค่าโฆษณา ค่าซองยา ค่าถุงใส่ยา และวัสดุอุปกรณ์สำหรับขายยา ซึ่งก็ขึ้นอยู่กับว่าจะเลือกลงทุนแค่ไหน แต่อยากให้เน้นเรื่องป้ายร้านยาว่ามีความสำคัญกับร้านยาเปิดใหม่มาก เพราะเป็นการทำให้ลูกค้าเห็นว่ามีร้านยาเปิดให้บริการ

             3. ค่าใช้จ่าย : จะพูดถึงคือค่าใช้จ่ายที่หลังจากที่เราเปิดร้านไปแล้ว เช่น ค่าเช่า ค่าน้ำ ค่าไฟ แต่สิ่งสำคัญในการจะเปิดร้านยาได้คือ ต้องมีเภสัชกรประจำร้านยา ซึ่งตามกฎหมายระบุว่า ร้านยาต้องมีเภสัชกรประจำร้านยาอยู่ตลอดเวลาทำการ ดังนั้นในกรณีที่ร้านยาของเราต้องจ้างเภสัชกรประจำร้านยา ค่าใช้จ่ายในส่วนนี้จะขึ้นอยู่กับว่าร้านยาอยู่ที่ไหน ถ้าตามต่างจังหวัดก็จะประมาณ 35,000-50,000 บาทต่อเดือน ถ้าในกรุงเทพหรือตามแหล่งท่องเที่ยวสำคัญที่มีชาวต่างชาติ ก็อาจจะประมาณ 45,000-60,000 บาทต่อเดือน ทำงาน 5-6 วันต่อสัปดาห์ วันละ 8-12 ชม.  ซึ่งค่าตอบแทนเภสัชกร อาจจะมีส่วนอื่นๆ อีก เช่น ค่าทำงานล่วงเวลา ค่า commission เบี้ยขยัน ประกันสังคม ประกันชีวิต เป็นต้น

             4. รายได้ : มาจากการขายยาและสินค้าในร้านเป็นหลัก โดยกำไรขั้นต้น (gross profit margin) ของยาแต่ละกลุ่มจะไม่เท่ากัน และแต่ละร้าน กำไรขั้นต้นก็ไม่เท่ากันเช่นกัน แต่โดยรวมจะอยู่ในช่วง 20%-60%  แต่ไม่ได้หมายความว่ากำไรขั้นต้น 20% จะทำให้เราขาดทุนเสมอไป ต้องพิจารณาว่า จำนวนลูกค้าต่อวันมากน้อยแค่ไหน หรือกลุ่มลูกค้าเป็นกลุ่มมีกำลังซื้อหรือไม่ เพราะสุดท้ายเราต้องไปหักกับค่าใช้จ่าย เพื่อดูว่ากำไรสุทธิของร้านว่าขาดทุนหรือไม่ ดังนั้นเราต้องวิเคราะห์ให้ได้ก่อนว่าร้านของเราทำเล และกลุ่มลูกค้าของเราเป็นอย่างไร

              5. ความเสี่ยง : ความเสี่ยงแรกที่เกี่ยวข้องกับร้านยามากที่สุด น่าจะเป็นเรื่องเภสัชกรประจำร้านยา อาจจะไม่มีผลกระทบสำหรับร้านยาที่มีเภสัชกรเป็นเจ้าของอยู่แล้ว แต่สำหรับร้านยาที่ยังต้องจ้างเภสัชกรประจำร้านยา ก็อาจจะได้รับผลกระทบ เมื่อมีการเปลี่ยนงานหรือลาออก เพราะถ้าไม่มีเภสัชกรก็ไม่สามารถเปิดร้านยาได้ ซึ่งจำเป็นต้องหาเภสัชกรมาประจำร้านยาให้ได้ ความเสี่ยงต่อมาถ้ากล่าวโดยรวม ก็คือการบริหารจัดการร้านยาให้มีประสิทธิภาพ เพราะร้านยาก็ถือว่าเป็นธุรกิจที่ต้องมีผลกำไร และขาดทุนเหมือนเช่นธุรกิจอื่นๆ ดังนั้นถ้ามีการบริการจัดการที่ไม่ดี มีโอกาสขาดทุน ไม่มีเงินทุนหมุนเวียน หรือผลกำไรไม่คุ้มค่า กับสิ่งที่ต้องลงแรงไป ดังนั้นเราต้องมีการศึกษา หรือวางแผนธุรกิจเพื่อรองรับความเสี่ยงด้วย

              6. กฎหมาย : กฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการขายยามีหลายเรื่องที่จะต้องทำก่อนเปิดร้านยา และสามารถศึกษาได้จากอินเตอร์เน็ต โดยกฎหมายหลักเกี่ยวกับการขายยาจะเป็นพระราชบัญญัติยา พ.ศ.2510 กฎกระทรวงว่าด้วยการขออนุญาต และการออกใบอนุญาตขายยา คู่มือการตรวจประเมิน วิธีปฏิบัติทางเภสัชกรรมชุมชน สำหรับขายยาแผนปัจจุบัน (GPP) เป็นต้น ถึงแม้ว่าเราจะไม่จำเป็นต้องรู้ข้อกฎหมายทุกข้อ แต่ศึกษาเอาไว้ไม่เสียหาย โดยเฉพาะคู่มือการตรวจประเมินร้านยา (GPP) ถ้าจะเปิดร้านยา ร้านยาต้องผ่านการประเมิน GPP ก่อนถึงจะสามารถเปิดร้านยาได้

            บทสรุปของการเปิดร้านยาดูแล้ว จะมีหลายขั้นตอนและมีรายละเอียดค่อนข้างมาก แต่ถ้าเรามีการวางแผน มีที่ปรึกษาและมีการบริหารจัดการที่ดี การเปิดร้านยาก็ไม่ใช่เรื่องยาก……..  

สนใจคลิ๊กเลย >>

<< สนใจคลิ๊กเลย

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

Call Now Button